EXPLORE
 
โปรแกรมการเดินทาง
เยือน
ประเทศอินเดีย
ราชสถาน 9 วัน 7 คืน
 
กำหนดการเดินทาง
COMING SOON!!!!
 
วันแรก  กรุงเทพฯ – ชัยปุระ
1930 น.
คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิอาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 2  แถว C เคาน์เตอร์สายการบิน THAI SMILEเจ้าหน้าที่บริษัทนิสโก้ ทราเวล จะคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่ท่านในการตรวจเช็คสัมภาระและบัตรโดยสารก่อนการเดินทาง
2205 น.
ออกเดินทางต่อสู่ เมืองจัยปูร์ หรือ เมืองชัยปุระ ประเทศอินเดียโดยสายการบิน THAI SMILEเที่ยวบินที่ WE 343
วันที่สอง  ชัยปุระ – บิคาเนอร์ (Bikaner)
0115 น.
เดินทางถึง ท่าอากาศยานชัยปุระ รับสัมภาระเรียบร้อยแล้วนำคณะเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ โรงแรม “Ramada Hotel” หรือระดับเทียบเท่า ณ เมืองชัยปุระ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ “พระราชวังแอมเบอร์ฟอร์ท” (Amber Fort)ซึ่งเดิมเคยเป็นพระราชวังของเมืองจัยปูร์ สร้างอยู่บนเนินเขาสูงตรงตำแหน่งเดิมที่เคยเป็นป้อมปราการเก่า สร้างขึ้นโดยมหาราชาแมนสิงห์ ในปี ค.ศ. 1592 และเสร็จสิ้นลงในสมัยของมหาราชาใจสิงห์ ป้อมแห่งนี้เป็นต้นแบบที่ดีของสถาปัตยกรรมแบบราชปุต Rajput เป็นป้อมปราการเด่นตระหง่านอยู่บนเนินเขา โดยมีทะเลสาบ Maota อยู่เบื้องล่าง แวดล้อมด้วยชุมชนของเขตเมืองเก่าชม “วัดเจ้าแม่กาลี” (Kali Temple)หรืออีกชื่อหนึ่งว่าวัดสิลาเดวี สร้างเพื่อถวายแด่เจ้าแม่กาลี  จากนั้นนำท่านชม “ซิตี้พาเลช” (City Place)ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 1 ใน 7 ของใจกลางเมือง สร้างตั้งแต่สมัยมหาราชาชัยสิงห์ และต่อเติมกันเรื่อยมาเป็นสถาปัตยกรรมแบบราชสถาน ที่แสดงถึงลักษณะของศิลปะแบบโมกุล ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของใช้ส่วนพระองค์ของมหาราชาแห่งเมืองชัยปุระ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
นำคณะออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศสู่ “เมืองบิคาเนอร์” (Bikaner)ในอดีตยังไม่มีเมืองบิคาเนอร์ บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของจุดศูนย์กลางการค้า หรือเรียบว่า “Mawar Land of the Dead”ซึ่งพ่อค้าที่เดินทางมาค้าขายตามเส้นทางสายไหม ยังต้องใช้ผ่านไปมา จึงมีโจรหลายก๊กยึดครองขยายอิทธิพลและคงยังไม่มีใครได้ครอบครองดินแดนแห่งนี้ จนกระทั่ง  เจ้าชาย “Rao Bika”แห่งแคว้นโยธปุระ หรือจ๊อดปูร์ ในปัจจุบัน ได้นำกองกำลังทหารมาต่อสู้กับเหล่าอันธพาลและหมู่กองโจร จนได้รับชัยชนะ จึงขยายเมืองออกมาและได้สร้างเมืองใหม่ในบริเวณนี้ ตั้งชื่อเป็นเมืองบิคาเนอร์ขึ้นมา (ระยะทางประมาณ 335กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร) เมื่อเดินทางถึงนำคณะเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “Laxmi Niwas Palace Hotel”หรือระดับเทียบเท่า 
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่สาม บิคาเนอร์ – จัยแซลเมียร์
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะชม “ป้อมจูนนาการ์”(Junagarh Fort)หรือ ป้อมสีแดงแห่งเมืองบิคาเนอร์ วังมหาราชาที่อยู่ในสภาพที่ดีสุดแห่งหนึ่งในราชาสถาน สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1588 ถูกสร้างขึ้นโดยราชปุต Rao Bika ภายในป้อมใหญ่แบ่งเป็นหลายส่วน เช่น Chandra Mahal, Phool Mahal, Karan Mahal และ Anoop Mahal
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหาร นำคณะออกเดินทางสู่ “เมืองจัยแซลเมียร์” (Jaisalmer)คือเมืองที่ได้รับสมญานามว่า “นครสีทอง”ตั้งอยู่บนที่ราบสูงกลางที่ราบทะเลทรายธาร์ มีกำแพงสูงใหญ่ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ทางตะวันตกสุดของแคว้นราชาสถาน ในอดีตเคยเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญระหว่างอินเดียกับตะวันออกกลาง นครแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นจากหินทรายสีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น หินเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็นเป็นสีทองอร่ามตาซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “นครสีทอง” และด้วยเหตุที่จัยแซลเมียร์เคยเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญ ทำให้พ่อค้าในตระกูลดังๆ หลายๆคน ร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐี (ระยะทางประมาณ 330 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง) ระหว่างทางแวะชม “วิหารคาร์นีมาทา” (Karni mata Temple) หรือ วัดเทพเจ้าหนู สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 สร้างเพื่ออุทิศ ให้แด่หนูที่มีความเชื่อ ว่าเป็นเหล่าลูกหลานของเทพธิดา Karni mata ที่เป็นร่างอวตารของเทพธิดา Durga (เทพธิดาแห่งพลัง และชัยชนะ) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาฮินดู เมื่อเดินทางถึงเมืองจัยแซลเมียร์
นำคณะเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “Fort Rajwada Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่สี่ จัยแซลเมียร์ (นครสีทอง)             
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางไปชมความสวยงามของ “ป้อมจัยแซลเมียร์” (Jaisalmer Fort)ป้อมปราการขนาดใหญ่ สร้างโดย “Bhatti Rajput rule Rawal Jaisal”ในปีค.ศ. 1156 บนเขาทิตรีกูฏ โดยป้อมนี้ถือว่าเป็นป้อมที่สร้างลำดับที่ 2 ของรัฐราชสถาน ชมความสวยงามของปราสาททรายที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางทะเลทราย ภายในป้อมมีบ้านพักของชาวบ้านที่พำนักอยู่อาศัยมานานนับร้อยปี ท่านจะได้เห็นทัศนียภาพของเมืองจัยแซลเมียร์โดยรอบ ชมคฤหาสน์ของเสนาบดีหลังแรกคือ Nathmal Ji Ki Haveli”สูง 5 ชั้น ที่สร้างโดย Lalu และ Hathi สองพี่น้องศิลปินและสถาปนิกเอก ที่สร้างอย่างวิจิตรบรรจง ด้วยการฉลุลายผนังอย่างละเอียดอ่อนและอีกหลังคือ Patwon ki Haveli”ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจัยแซลเมียร์ ซึ่งภายในจะจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะไปชม “ทะเลสาบกาดซิซาร์” (Gadsisar Lake)โอเอซิสขนาดใหญ่ท่ามกลางทะเลทราย ซึ่งทะเลสาบนี้เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเมืองจัยแซลเมียร์ รอบๆ ทะเลสาบจะมีวัดเล็กๆ ในช่วงฤดูหนาวจะได้พบเห็นนกนานาชนิดโดยรอบทะเลสาบ จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ “ทะเลทรายทาร์”ห่างจากตัวเมืองออกไปราว 45 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน จัยแซลเมียร์ สนุกสนานกับการ ขี่อูฐ ชม Sam Sand Dunesในยามเย็น ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางกลับเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “Fort Rajwada Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่ห้า จัยแซลเมียร์ – จ๊อดปูร์ (นครสีฟ้า)
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศสู่ “เมืองจ๊อดปูร์” (Jodhpur) เมืองโรแมนติก แห่งนครสีฟ้า เมืองจ๊อดปูร์ หรือชื่อในอดีตคือ เมืองโยธะปุระ นครแห่งนักรบ ที่ทั่วทั้งเมืองเป็นสีฟ้าราว Rao Jodha แห่งราชวงศ์ Rathor(ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง) เมื่อเดินทางถึงเมืองจ๊อดปูร์ นำคณะเดินทางเข้าสู่ที่พัก ณ “Fairfield by Marriott Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ชม “ป้อมเมห์รานการห์” (Mehrangarh Fort)เป็น 1 ใน 4 พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ภายในมีพระราชวังที่สวยงามและใหญ่ที่สุด รวมทั้งยังเป็นจุดชมวิวชมเมืองสีฟ้าที่ดีที่สุด ป้อมเมห์รานการห์นี้ ภายในตกแต่งประดับประดาด้วยแก้วหลากสี แบ่งเป็นห้องหรือท้องพระโรงขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง อาทิ ตำหนัก Moti Mahal, Sheesh Mahal, Phool Mahal จากนั้นนำท่านเข้าชม “อนุสรณ์สถานจัสวันต์ธาดา” (Jaswant Thada)สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1899 โดยสร้างจากหินอ่อน โดยมีจุดเด่นอยู่ตรงประตูและเสาที่แกะสลักได้อย่างละเอียดงดงาม เพื่ออุทิศให้กับมหาราชาจัสวันต์ สิงห์ที่ 2 (Maharaja Jaswant Singh ll) หลังกจากที่พระองค์เสียชีวิตไปแล้ว 4 ปี ปัจจุบันอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมสไตล์ราชปุตนาอันโดดเด่น และมักได้รับการขนานนามว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งเมืองมาร์วาร์ ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “Fairfield by Marriott Hotel”หรือระดับเทียบเท่า 
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่หก จ๊อดปูร์ – อุไดปูร์
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ “เมืองอุไดปูร์” (Udaipur)  (ระยะทางประมาณ290 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6-7ชั่วโมง) ระหว่างทางแวะชม “เมืองรานัคปูร์” (Ranakpur ) นำท่านชม “วิหารเชน” (Jain Temple)เป็นวิหารของศาสนาเชน สร้างโดยคหบดี Dharna Sah เมื่อเกือบ 500 ปีก่อน ภายในประกอบด้วยห้องโถงกว่า 24 ห้อง โดมทั้งหมด 80 โดม และเสาถึง  1,144 ต้น เสาแต่ละต้นจะถูกแกะสลักลวดลายอย่างงดงามมาก คิดเป็นพื้นที่แกะสลักกว่า 3,000 ตารางเมตรทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
เดินทางถึงเมืองอูไดปูร์ เช็คอินเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “The Fern Residency Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่เจ็ด อุไดปูร์
เช้า
รับประทานอาหารเช้า  ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านชม “วัดจักดิศ” (Jagdish Temple)เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอุไดปูร์ และเป็นที่เคารพสักการะสำหรับชาวเมืองอุไดปูร์เป็นอย่างยิ่ง สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1651 จากนั้นอิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งของที่ระลึก ตามอัธยาศัย จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สวน Saheliyon Ki Bari”ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยมหารานาซันแกรมซิงห์ที่ 2 (Maharana Sangram Singh ll) เพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิงในช่วงฤดูร้อน ภายในสวนตบแต่งไปด้วยต้นไม้หลากหลายนานาชนิดพันธุ์ โดดเด่นด้วยน้ำพุที่สร้างความเย็นฉ่ำให้บริเวณข้างเคียง ชมความงามของสระบัวที่กว้างใหญ่ บริเวณภายในสวนยังมีห้องนั่งเล่นที่ประดับประดาไปด้วยแก้วและหินสีงดงามมาก
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านชม “ซิตี้ พาเลช” (City Palace) หรือพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งส่วนหนึ่งมีการดัดแปลงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตและหินอ่อน ภายในประดับประดาด้วยกระจกและแก้วหลากสี นับเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นราชาสถาน ปัจจุบันบางส่วนยังคงเป็นที่ประทับของราชตระกูล และมีการจัดแสดงวัตถุโบราณที่มีค่ามากมายให้ผู้คนเข้าชม ออกเดินทางต่อสู่เมืองอุไดปูร์ เมื่อเดินทางถึงนำท่าน “ล่องเรือในทะเลสาบพิโคลา” (Pichola Lake)ชมทิวทัศน์รอบทะเลสาบในยามเย็น ทะเลสาบนี้มีความกว้าง 3 กม. ยาว 4 กม. มีเกาะอยู่ 2 เกาะคือ Jag Niwas และ Jag Mandir เกาะ Jag Niwas เป็นที่ตั้งของ The Lake Palace สร้างโดย Maharana Jagat Singh ll เมื่อปี 1743 เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวไปเรียบร้อยแล้ว
ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ “The Fern Residency Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่แปด อุไดปูร์– ชัยปุระ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารนำท่านออกเดินทางสู่ “เมืองชัยปุระ”หรือนครแห่งชัยชนะ เป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน ได้รับการออกแบบวางผังเมืองอย่างสวยงาม เป็นเมืองที่สร้างขึ้นใหม่โดยท่านมหาราชา ไสว ชัย สิงห์ ที่2 เมืองชัยปุระ ได้รับสมญานามว่า “นครสีชมพู” (Pink City)เพราะเมืองถูกทาสีชมพูเพื่อต้อนรับการเสด็จมาเยือนของ Prince of Waleซึ่งต่อมาคือ King Edward VIIแห่ง สหราชอาณาจักร (ระยะทาง 390 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7ชั่วโมง)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน หลังอาหารนำท่านออกเดินทางต่อสู่เมืองชัยปุระ
เมื่อถึงเมืองชัยปุระ ชม “หอดูดาวจันทราแมนทาร์” (Jantar Mantar)สร้างในปี ค.ศ. 1727 โดยมหาราชาใจสิงห์ พระองค์ยังทรงเป็นกษัตริย์นักดาราศาสตร์ จึงทรงสร้างหอดูดาวและอุปกรณ์ดาราศาสตร์ขนาดใหญ่ไว้มากมาย เรียกว่า Jantar Mantar ชม นาฬิกาแดด สูงถึง 28 เมตร ที่ยังเที่ยงตรงอยู่เสมอ จากนั้นเดินทางสู่ ฮาวามาฮาล (Hawa Mahal) “พาเลซออฟวินด์”หรือ พระราชวังแห่งสายลม ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1799 โดยมหาราชาไสวชัยสิงห์ เป็นอาคาร 5 ชั้นสร้างด้วยหินทรายออกแดงคล้ายสีปูนแห้ง สถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุล มีหน้าต่างถึง 953 ช่อง เป็นทั้งช่องลมผ่านและให้หญิงสูงศักดิ์ในราชสำนักแอบมองดูชีวิตความเป็นอยู่ในตัวเมือง คำว่า “ฮาวา” ซึ่งแปลว่าสายลม ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งจัยปูร์ จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพู และนำท่านช้อปปิ้งของฝากจากเมืองจัยปูร์กันตามอัธยาศัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ จากนั้นได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติเมืองชัยปุระ
วันที่เก้า  กรุงเทพฯ
0215 น.
ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน THAI SMILE   เที่ยวบินที่ WE 344
0815 น.
คณะเดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
 
อัตราค่าบริการ
อัตราค่าบริการ เดินทางขั้นต่ำ 15 ท่าน
ราคาท่านละ 49,500 บาท
พักเดี่ยวจ่ายเพิ่ม 9,500 บาท

*ราคาดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนหากสายการบินมีการเรียกเก็บภาษีน้ำมันและภาษีสนามบินเพิ่มเติม*

อัตราค่าบริการรวม
  • ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินสายการบินไทย สมายล์ (Thai Smile) ไป-กลับชั้นประหยัด (Economy Class)Bangkok– Jaipur//Jaipur – Bangkok
  • ค่าโรงแรมที่พักตามที่ระบุในรายการ (พักห้องละ 2 ท่าน) โรงแรมระดับสี่ดาว
  • ค่าภาษีสนามบินไทย-อินเดีย
  • ค่าวีซ่าประเทศอินเดีย
  • อาหารทุกมื้อตามที่ระบุในรายการ พร้อมน้ำดื่มสะอาดตลอดการเดินทาง
  • ค่ารถโค้ชปรับอากาศตลอดเส้นทาง ตามที่ระบุในรายการ
  • ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุในรายการ
  • ค่าประกันอุบัติเหตุวงเงิน ท่านละ 1,000,000 บาท
  • ค่าทิปคนขนกระเป๋า คนขับรถ พร้อมผู้ช่วย ไกด์ท้องถิ่น       
อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม   
  • ค่าทำหนังสือเดินทาง
  • ค่าน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางในกรณีที่เกินกว่าสายการบินกำหนด 20 กิโลกรัม
  • ค่าทำใบอนุญาตที่กลับเข้าประเทศของคนต่างชาติ หรือคนต่างด้าว
  • ค่าภาษีท่องเที่ยวหากมีการจัดเก็บ
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
  • ค่ากล้องถ่ายรูป และค่ากล้องวีดีโอ หากจะนำไปถ่ายภาพภายในสถานที่ สำคัญ ซึ่งทางหัวหน้าทัวร์จะแจ้งให้ทราบ
  • ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ท่าน สั่งมาทานนอกเหนือจากรายการ
  • ค่ามินิบาร์ โทรศัพท์ ฯลฯ  ในโรงแรม
  • ค่าทิปหัวหน้าทัวร์คนไทยที่เดินทางไปกับคณะเพื่อคอยอำนวยความสะดวกระหว่างการเดินทาง

 


 
รายการเดินทางไปประเทศอินเดียและเนปาล
นมัสการพุทธสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง
พุทธคยา- ราชคฤห์ – นาลันทา – พาราณสี – กุสินารา – สาวัตถี – ลุมพินี – กาฐมาณฑุ
(โปรแกรม 3)
 
วันแรกของการเดินทาง                                                          กรุงเทพฯ - พุทธคยา
0900 น.
คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานแห่งชาติสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น 4 ประตู 3  เคาน์เตอร์  D สายการบินไทย โดยมีเจ้าหน้าที่คอย อำนวยความสะดวกในการตรวจเช็คสัมภาระ และบัตรโดยสารให้แก่คณะก่อนการออกเดินทาง
1210 น.
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG 327สู่ เมืองคยา หรือ พุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
                    (เวลาท้องถิ่นในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย1ชั่วโมง 30นาที)
1400 น.
คณะเดินทางถึงสนามบินเมืองคยา ประเทศอินเดีย ตามเวลาท้องถิ่นหลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากรเรียบร้อยแล้ว นำคณะเดินทางสู่ พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งศาสนาพุทธ สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และ เป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที)
 
เดินทางไปยังบริเวณบ้าน “นางสุชาดา”ซึ่งนางสุชาดานั้นเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาส (ข้าวที่หุงกวนด้วยน้ำผึ้งและนม) ด้วยเข้าใจว่าพระพุทธองค์ที่นั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้คือรุกขเทวดาที่ช่วยให้นางได้ลูกชายสมปรารถนาจึงนำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองไปถวายเพื่อแก้บน หลังจากฉันท์อาหารนั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้นำถาดทองคำนี้มาที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา แล้วทรงอธิฐานเสี่ยงพระบารมีว่า “ถ้าทรงได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเสกสัมโพธิญาณแล้วขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ”แล้วทรงลอยถาดนั้นลงแม่น้ำ ขณะนั้นอานุภาพพระบารมีของพระองค์ซึ่งทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ได้แสดงให้เห็นความอัศจรรย์ ถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำเนขึ้นไปประมาณ 1 เส้น แล้วถาดทองนั้นก็จมลงในแม่น้ำจึงเรียกแม่น้ำนี้ว่า “แม่น้ำแห่งการตรัสรู้ ”
นำคณะเข้า เยี่ยมชมสักการะ มหาเจดีย์พุทธคยา”ซึ่งมีความสูง 52 เมตร มีองค์ประกอบส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ส่วนกลางเป็นทรงปรางค์คล้ายพีระมิด และส่วนล่างนั้นเป็นวิหารซึ่งสามารถประกอบศาสนกิจได้ และภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัย ที่สวยงามมาก สร้างจากหินแกรนิตสีดำในสมัยราชวงศ์ปาละ มีอายุกว่า 1,500 ปี ให้ท่านได้มีเวลาสักการบูชา  อธิษฐานขอพร พระพุทธเมตตา ด้านหลังของมหาเจดีย์พุทธคยาเป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์”  และระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับมหาเจดีย์พุทธคยาประดิษฐานพระแท่นวัชรอาสน์ ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จขึ้นประทับบำเพ็ญเพียรด้วยสมาธิโดยพระแท่นวัชรอาสน์เป็นแท่นหินสี่เหลี่ยมสลักลวด ลาย สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช   
***บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูป ต้องเก็บไว้ในรถเท่านั้น แต่สามารถใช้กล้องถ่ายรูปได้***
ค่ำ
นำคณะกลับสู่โรงแรมที่พัก ณ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
วันที่สองของการเดินทาง                                 คยา –ราชคฤห์ –  นาลันทา – คยา 
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
คณะออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศไปยัง เมืองราชคฤห์”ระยะทาง 85 กิโลเมตรเมืองราชคฤห์ เป็นอดีตมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธในสมัยพุทธกาลและเป็นเมืองศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก จัดเป็นเมืองใหญ่หนึ่งในหกของอินเดียโบราณตั้งอยู่ทางตะวันออกของชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบัน คือ จังหวัดนาลันทา ในรัฐพิหาร ภายในตัวเมืองนั้นจะเป็นเมืองเก่ามีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก แต่ภายนอกออกไปทางด้านนาลันทาจะเป็นชุมชนใหญ่ และภายในตัวเมืองราชคฤห์นั้นจะมีโบราณสถานต่างๆ อยู่มากมาย  ซึ่งเมืองราชคฤห์นั้นห่างจากเมืองพุทธคยาประมาณ 85 กิโลเมตร เดินทางเข้าสู่ เมืองนาลันทา (เมืองแห่งอัครสาวก บ้านเกิดของพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา)
นำคณะเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ”ซึ่งเป็นเขาที่เอียงลาดยาวขึ้นไป ลักษณะทางขึ้นนั้นไม่ลำบากมากนัก ระหว่างทางไปเขาคิชฌกูฏ  จะผ่านชีวกัมพวัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในพระพุทธศาสนาหมอชีวกได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนักหมอชีวก หรือ “ชีวกโกมารภัจจ์” ซึ่งเป็น บุตรของนางสาลวตี ซึ่งเป็นหญิงนครโสเภณีประจำ กรุงราชคฤห์ เมื่อนางคลอดลูกออกมาเป็นชายก็ได้นำไปทิ้งยังกองขยะ ต่อมาอภัยราชกุมารไปพบเข้าจึงนำไปเลี้ยงไว้ในวัง และให้ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตัก-กสิลา นครหลวงแห่งแคว้นคันธาระเมื่อจบออกมาก็เป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากผ่านชมถ้ำสุกรขาตา”ซึ่งเป็นถ้ำที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ และเป็นที่ที่พระเทวฑัตกลิ้งก้อนหินใส่พระพุทธองค์ บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นจะเป็นลานกว้างพอสมควรมีอิฐปรักหักพังลักษณะสี่เหลี่ยมเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์และมีกุฏิวิหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์อีกหลายท่าน และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองราชคฤห์ในมุมสูง จากนั้นเดินทางไปชม วัดเวฬุวัน”ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่เกิดในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระพุทธองค์ และพระอัครสาวกได้อุปสมบท ณ วัดแห่งนี้ เป็นสถานที่ประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาตซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 1250 รูปเดินทางมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารกลางวันนำคณะเดินทางไปสักการะหลวงพ่อองค์ดำ”พระพุทธรูปที่มีอายุเก่าแก่และศักสิทธิ์ โดยนั่งรถม้า หลวงพ่อองค์ดำ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง 60  นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บาง องคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจางชาวอินเดียนับถือศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมากเวลา ลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อนแล้วลูบ เอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่าหลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า”เตลิยะบาบา” บางคนก็ ขนาน  นามท่านว่า”หลวงพ่ออ้วน”หรือภาษาอินเดีย ว่า”โมต้าบาบา”เดินทางกลับโดยรถม้าเพื่อเข้าชมมหาวิทยาลัยนาลันทา 
“มหาวิทยาลัยนาลันทา”ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 จากนั้นได้มีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุค อันมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สถานที่แห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและเผยแผ่พุทธศาสนาไปสู่นานาอารยะประเทศโดยเฉพาะนิกายมหายาน มหาวิทยาลัยนาลันทาเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ประมาณ 800 ปี จึงเริ่มเสื่อมสลายลง แต่เหตุการณ์ที่ทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาอย่างรุนแรง คือ การที่พวกมุสลิมเติร์ก รุกรานเข้ามาในราวปี ค.ศ.1742  ในช่วงที่ทำสงครามกันอยู่ยาวนานกว่า 300 ปี มีการกวาดล้างศาสนาต่างๆบังคับให้เข้าศาสนาตน ฆ่าพระสงฆ์ นักบวชฮินดู ตลอดจนผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา เผาทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างและตำราต่างๆที่มีอยู่มากมายมหาศาลจนหมดสิ้น   มหาวิทยาลัยนาลันทาล่มสลายจมลงอยู่ใต้พื้นพิภพ นานถึง 625 ปี เพิ่งมาขุดค้นพบ กันอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยชาวอังกฤษ การขุดสำรวจ ภายในเนื้อที่ 230 ไร่ ได้พบซากบางส่วนของมหาวิทยาลัยนาลันทา หอประชุม ที่พักนักศึกษา ห้องเรียน โรงอาหาร สังฆาราม เป็นต้น  จากนั้นนำท่านกลับโดยรถม้าเพื่อเดินทางขึ้นรถโค้ช
ได้เวลานำทุกท่านเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก ณ เมืองพุทธคยา
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม 
วันที่สามของการเดินทาง                         พุทธคยา– พาราณสี
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางไปชมความสวยงามของศิลปกรรมและความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาของแต่ละประเทศทั้งสายเถรวาทและสายมหายานของ “วัดพุทธนานาชาติ”ไม่ว่าจะเป็น วัดศรีลังกา วัดพม่า วัดทิเบต วัดภูฏาน วัดเกาหลี วัดจีน วัดญี่ปุ่น ซี่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ได้เวลาสมควร ออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศสู่ “เมืองพาราณสี”เมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเดลลีเมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอินเดียเชื่อว่าไหลมาจากสวรรค์  ซึ่งสายน้ำนั้นไหลมาจากภูเขาหิมาลัย  เมืองพาราณสีนั้นเป็นเมืองเก่าที่มีถนนรอบเมืองวกวนไปมาตามโบสถ์และที่บวงสรวงบูชาพระเจ้าของศาสนาฮินดู(ระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร)
ค่ำ 
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม 
พัก ณ โรงแรม......................
วันที่สี่ของการเดินทาง                                       พาราณสี –สารนารถ – กุสินารา
เช้าตรู่
นำคณะเดินทางสู่ท่าเรือเพื่อนำท่านล่อง แม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์”  ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 2500 กิโลเมตร นมัสการพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ในแม่น้ำคงคา ชมวิธีการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเมืองริมฝั่งแม่น้ำคงคา อันเป็นแม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ซึ่งแม่น้ำแห่งนี้นั้นชาวฮินดูมีความเชื่อว่าผู้ใด ได้อาบ ดื่ม ถือเป็นมงคลของชีวิต และการลงอาบน้ำในแม่น้ำแห่งนี้นั้นสามารถชำระบาปที่มีมาทั้งชีวิตได้ ด้วยความศรัทธาเหล่านี้เอง จึงทำให้เกิด “โรงแรมมรณะ” ขึ้นริมฝั่งแม่น้ำ เป็นโรงแรมสำหรับผู้ป่วยหนักที่นอนรอความตายเพราะมีความเชื่อว่าหากผู้ใดได้เข้ามาตรงจุดนี้ จะเป็นผู้ที่มีบุญ  สถานที่แห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ของชาวฮินดู นักเดินทางจะได้เห็นประเพณีพิธีการอาบน้ำล้างบาป พิธีการปลงศพริมแม่น้ำคงคาที่มีความแตกต่าง โดยชาวฮินดูมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ถูกเผาในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะหลุดพ้นจากวงโคจรชีวิต ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ได้ขึ้นสวรรค์ในทันที  เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “จึงไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปโดยเด็ดขาด”
0700 น.
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำคณะเดินทางต่อไปยัง เมืองสารนารถซึ่งเป็นเมืองบริวารของเมืองพาราณสีซึ่งอยู่ห่างออกไประยะทาง 10  กิโลเมตรนักเดินทางเข้านมัสการ เจาคันธีสถูป”สถานที่พระพุทธองค์ได้ทรงพบปัญจวัคคีย์ ครั้งแรก  หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้งหมดผละหนีจากพระพุทธองค์ และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงระลึกถึงและทรงเมตตาโปรดให้รู้ธรรมตามจึงเสด็จมาพบ และเกิดพระรัตนตรัยขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก  ปัจจุบันเป็นเนินดิน สูงประมาณ 20 เมตร นมัสการ พระคันธกุฏิ เป็นกุฏิหลังแรกที่พระพุทธองค์จำพรรษาเป็นพรรษาแรก  หลังจากที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณแล้ว
นำคณะเดินทางนมัสการ ธัมเมกขสถูปสถานที่แสดงธรรมครั้งแรก สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ปัจจุบันองค์สถูปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28.50 เมตร สูง 33.53 เมตร เป็นสถูปทรงกลม ด้านในสร้างด้วยอิฐแดงเกาะกันจนแน่น ด้านนอกก่อด้วยหินทรายแดงแกะลวดลายสวยงาม หินแต่ละก้อนยาวประมาณ 1 เมตร กว้างครึ่งเมตร มีเหล็กเป็นสลักเชื่อมต่อแต่ละก้อนให้ยึดติดกัน มีช่อง 8 ช่อง หมายถึง มรรคแปด ในสมัยก่อนประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ในแต่ละช่อง
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารนำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศสู่เมืองกุสินารา (ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง)
ค่ำ
คณะเดินทางถึงเมืองกุสินารานำท่านเช็คอินเข้าสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่ห้าของการเดินทาง                                                 กุสินารา –สาวัตถี
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ สถานที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันปรินิพาน และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ  ณสาลวโนทยาน”  ซึ่งเดิมนั้นเป็นอุทยานของมัลลกษัตริย์ มีสถูปและปรินิพพานวิหาร ประดิษฐานอยู่ ซึ่งปรินิพพานวิหารนั้นภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่มีความสวยงามมาก  สันนิฐานว่าสร้างขึ้นในราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 9โดยเป็นศิลปะแบบเมถุลา ด้านหลังพระวิหารปรินิพพาน มีพระสถูปองค์หนึ่ง เรียกว่า ปรินิพพานสถูป สร้างในรัชสมัยพระเจ้าอโศก โดยมีประวัติว่า พระเจ้าอโศกเมื่อทรงมาถึงสถานปรินิพพาน ทรงเศร้าโศกพระทัย เพราะอาลัยถึงพระพุทธองค์ ถึงกับทรงวิสัญญีล้มสลบ และได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์หนึ่งแสน โปรดดำริให้ ก่อสร้างพระสถูปขนาดใหญ่ ขึ้นในบริเวณที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงให้สร้างคร่อมพระแท่นที่ ปรินิพพาน พร้อมด้วยต้นสาละนั่นเอง มีลักษณะเป็นสถูปทรงบาตรคว่ำ สูงราว 70ฟุต บนยอดมีฉัตร 3ชั้น
นำท่านเดินทางไป นมัสการมกุฏพันธนเจดีย์”เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่ “เมืองสาวัตถี”(ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร)
นำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ให้ทุกท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่หกของการเดินทาง                                                สาวัตถี – ลุมพินี 
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้านำท่านเข้าชมสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ มีลักษณะเป็นเนินดินสูงประมาณ 50 เมตร ที่แห่งนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ย์เพื่อโปรดประชาชนชาวสาวัตถี จากนั้น ทรงเสด็จไปประทับจำพรรษาที่ดาวดึงส์ เมื่อออกพรรษา ทรงเสด็จลงจากสวรรค์ในวันเทโวโรหนะที่สังกัสสะนคร จากนั้นชม “วัดเชตะวันมหาวิหาร”ที่ซึ่งพระพุทธองค์ประทับจำพรรษา นานถึง 19 พรรษา เป็นศุนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่สำคัญที่สุด นมัสการ พระคันธกุฏี ฤดูร้อน ฤดูหนาวและฤดูฝน นมัสการ ธรรมศาลา ที่ใหญ่ที่สุด ธรรมสภา กุฏิพระอรหันต์ เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระสิวลี พระอานนท์ พระราหุล พระองคุลิมาล พระมหากัสสปะ และอารามฝ่ายพระภิกษุที่เคยจำพรรษาในครั้งพุทธกาล นมัสการ อานันทะต้นโพธิ์ ที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน ชมคฤหาสน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านบิดาของ
ท่านองคุลิมาล ชมสถานที่ธรณีสูบพระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา  
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล ระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร ระหว่างทางนำท่านแวะพุทธวิหาร สาลวโนทยาน 960 ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอินเดีย และเนปาลคณะเตรียมหนังสือเดินทางเพื่อข้ามเขตไปประเทศเนปาล
นำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ให้ทุกท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่เจ็ดของการเดินทาง                                       ลุมพินี – กาฐมาณฑุ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่มหาวิหารมายาเทวี”เพื่อสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ ณ สวนลุมพินี เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่ประสูติของสิทธัตถราชกุมาร คือจุดที่เสาศิลา ของพระเจ้าอโศกมหาราชตั้งอยู่ ยังมีข้อความภาษาพราหมณ์ จารึกไว้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นสถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายใน มหาวิหารมายาเทวี  มีศิลาสลักภาพพุทธประวัติปางประสูติ เป็นรูปพุทธมารดาอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งไม้สาละ มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะออกมาทางปัสสะขวาของพระพุทธมารดา และด้านหน้าของมหาวิหารนั้นสระโบกขรณี  ซึ่งเป็นที่สรงสนานของพระนางสิริมายาเทวี ก่อนจะให้ประสูติกาลพระกุมาร และหลังการประสูติ
จากนั้นนำคณะแวะเยี่ยมชมวัดไทยลุมพินี”  พระอารามหลวงอีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงามอาคารสร้างด้วยหินอ่อน อิสระให้คณะได้ร่วมทำบุญ ณ วัดไทยลุมพินีตามศรัทธา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม ให้ทุกท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
1300 น.
นำท่านเดินทางสู่สนามบินเมืองลุมพินี
1720 น.
ออกเดินทางสู่ เมืองกาฐมัณฑุโดยสายการบิน Buddha Airเที่ยวบินที่ BHA 856
1755 น.
เดินทางถึง ท่าอากาศยานตรีภูวัน เมืองกาฐมัณฑุ หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่แปดของการเดินทาง                                กาฐมัณฑุ – เมืองปาทัน – กรุงเทพฯ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ วัดโพธินาถ ชม “เจดีย์โพธินาถ”(Bouddha Nath)ซึ่งเป็น วัดทางพุทธศาสนาที่มีเจดีย์ใหญ่ที่สุดในเนปาล องค์เจดีย์เขียนเป็นรูปตา-คิ้ว ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยที่องค์การยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2522 อีกด้วย บริเวณวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวทิเบต ที่อพยพเข้ามาในปีพ.ศ. 2502 และมีสินค้าพื้นเมืองทิเบตวางขายมากมาย  สมควรแก่เวลานำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน
1355 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG 320
1830 น.
เดินทางถึง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

 

  
วันเดินทาง
18 - 26 ต.ค. 61
 8 - 16 พ.ย. 61
25 ธ.ค. 61 - 2 ม.ค. 62 
17 - 25 ม.ค. 62
7 - 15 ก.พ. 62
7 - 15 มี.ค. 62

 
วันแรก   กรุงเทพฯ - พุทธคยา       
0900 น.
คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานแห่งชาติสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น 4 ประตู 3  เคาน์เตอร์  D สายการบินไทย โดยมีเจ้าหน้าที่คอย อำนวยความสะดวกในการตรวจเช็คสัมภาระ และบัตรโดยสารให้แก่คณะก่อนการออกเดินทาง
1220 น.
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยสายการบิน Thai Smile เที่ยวบินที่ WE 327 สู่ เมืองคยา ประเทศอินเดีย โดยใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
(เวลาท้องถิ่นในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย1ชั่วโมง 30นาที)
1400 น.
คณะเดินทางถึงสนามบินเมืองคยา ประเทศอินเดีย ตามเวลาท้องถิ่นหลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และด่านศุลกากรเรียบร้อยแล้ว นำคณะเดินทางสู่ พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งศาสนาพุทธ สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และ เป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) 
 
นำคณะเข้าเยี่ยมชมสักการะ มหาเจดีย์พุทธคยา”ซึ่งมีความสูง 52 เมตร มีองค์ประกอบส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ส่วนกลางเป็นทรงปรางค์คล้ายพีระมิด และส่วนล่างนั้นเป็นวิหารซึ่งสามารถประกอบศาสนกิจได้ และภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัย ที่สวยงามมาก สร้างจากหินแกรนิตสีดำในสมัยราชวงศ์ปาละ มีอายุกว่า 1,500 ปี ให้ท่านได้มีเวลาสักการบูชา  อธิษฐานขอพร พระพุทธเมตตา ด้านหลังของมหาเจดีย์พุทธคยาเป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์”  และระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับมหาเจดีย์พุทธคยาประดิษฐานพระแท่นวัชรอาสน์ ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จขึ้นประทับบำเพ็ญเพียรด้วยสมาธิโดยพระแท่นวัชรอาสน์เป็นแท่นหินสี่เหลี่ยมสลักลวด ลาย สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช
  
***บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูป ต้องเก็บไว้ในรถเท่านั้น แต่สามารถใช้กล้องถ่ายรูปได้***
ค่ำ
นำคณะกลับสู่โรงแรมที่พัก ณ “Mahabodhi Hotel” หรือเทียบเท่า
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
วันที่สอง  พุทธคยา – ราชคฤห์ – นาลันทา - พุทธคยา
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
 
นำคณะออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศไปยัง เมืองราชคฤห์”ระยะทาง 85 กิโลเมตรเมืองราชคฤห์ เป็นอดีตมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธในสมัยพุทธกาลและเป็นเมืองศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก จัดเป็นเมืองใหญ่หนึ่งในหกของอินเดียโบราณตั้งอยู่ทางตะวันออกของชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบัน คือ จังหวัดนาลันทา ในรัฐพิหาร ภายในตัวเมืองนั้นจะเป็นเมืองเก่ามีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก แต่ภายนอกออกไปทางด้านนาลันทาจะเป็นชุมชนใหญ่ และภายในตัวเมืองราชคฤห์นั้นจะมีโบราณสถานต่างๆ อยู่มากมาย
 
นำคณะเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ”ซึ่งเป็นเขาที่เอียงลาดยาวขึ้นไป ลักษณะทางขึ้นนั้นไม่ลำบากมากนัก ระหว่างทางไปเขาคิชฌกูฏ  จะผ่านชีวกัมพวัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในพระพุทธศาสนาหมอชีวกได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนักหมอชีวก หรือ “ชีวกโกมารภัจจ์” ซึ่งเป็น บุตรของนางสาลวตี ซึ่งเป็นหญิงนครโสเภณีประจำ กรุงราชคฤห์ เมื่อนางคลอดลูกออกมาเป็นชายก็ได้นำไปทิ้งยังกองขยะ ต่อมาอภัยราชกุมารไปพบเข้าจึงนำไปเลี้ยงไว้ในวัง และให้ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตัก-กสิลา นครหลวงแห่งแคว้นคันธาระเมื่อจบออกมาก็เป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากผ่านชมถ้ำสุกรขาตา”ซึ่งเป็นถ้ำที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ และเป็นที่ที่พระเทวฑัตกลิ้งก้อนหินใส่พระพุทธองค์ บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นจะเป็นลานกว้างพอสมควรมีอิฐปรักหักพังลักษณะสี่เหลี่ยมเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์และมีกุฏิวิหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์อีกหลายท่าน และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองราชคฤห์ในมุมสูง จากนั้นเดินทางไปชม วัดเวฬุวัน”ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่เกิดในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระพุทธองค์ และพระอัครสาวกได้อุปสมบท ณ วัดแห่งนี้ เป็นสถานที่ประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาตซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 1250 รูปเดินทางมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
จากนั้นนำคณะเดินทางเดินทางเข้าสู่ เมืองนาลันทา(เมืองแห่งอัครสาวก บ้านเกิดของพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา) เมื่อเดินทางถึงนำคณะไปสักการะหลวงพ่อองค์ดำ”พระพุทธรูปที่มีอายุเก่าแก่และศักสิทธิ์ โดยนั่งรถม้า หลวงพ่อองค์ดำ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง 60  นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บาง องคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจางชาวอินเดียนับถือศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมากเวลา ลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อนแล้วลูบ เอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่าหลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า”เตลิยะบาบา” บางคนก็ ขนาน  นามท่านว่า”หลวงพ่ออ้วน”หรือภาษาอินเดีย ว่า” โมต้าบาบา”เดินทางกลับโดยรถม้าเพื่อเข้าชมมหาวิทยาลัยนาลันทา “มหาวิทยาลัยนาลันทา”ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 จากนั้นได้มีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุค อันมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สถานที่แห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและเผยแผ่พุทธศาสนาไปสู่นานาอารยะประเทศโดยเฉพาะนิกายมหายาน มหาวิทยาลัยนาลันทาเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ประมาณ 800 ปี จึงเริ่มเสื่อมสลายลง แต่เหตุการณ์ที่ทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาอย่างรุนแรง คือ การที่พวกมุสลิมเติร์ก รุกรานเข้ามาในราวปี ค.ศ.1742  ในช่วงที่ทำสงครามกันอยู่ยาวนานกว่า 300 ปี มีการกวาดล้างศาสนาต่างๆบังคับให้เข้าศาสนาตน ฆ่าพระสงฆ์ นักบวชฮินดู ตลอดจนผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา เผาทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างและตำราต่างๆที่มีอยู่มากมายมหาศาลจนหมดสิ้น   มหาวิทยาลัยนาลันทาล่มสลายจมลงอยู่ใต้พื้นพิภพ นานถึง 625 ปี เพิ่งมาขุดค้นพบ กันอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยชาวอังกฤษ การขุดสำรวจ ภายในเนื้อที่ 230 ไร่ ได้พบซากบางส่วนของมหาวิทยาลัยนาลันทา หอประชุม ที่พักนักศึกษา ห้องเรียน โรงอาหาร สังฆาราม เป็นต้น  จากนั้นนำท่านกลับโดยรถม้าเพื่อเดินทางขึ้นรถโค้ช เพื่อเดินทางกลับสู่ เมืองกายา (ระยะทางประมาณ 65 กิโลเมตร)
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พัก ณ “Mahabodhi Hotel” หรือเทียบเท่า
วันที่สาม  พุทธคยา - พาราณสี
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารเช้าเดินทางไปยังบริเวณบ้าน “นางสุชาดา”ซึ่งนางสุชาดานั้นเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาส (ข้าวที่หุงกวนด้วยน้ำผึ้งและนม) ด้วยเข้าใจว่าพระพุทธองค์ที่นั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้คือรุกขเทวดาที่ช่วยให้นางได้ลูกชายสมปรารถนาจึงนำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองไปถวายเพื่อแก้บน หลังจากฉันท์อาหารนั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้นำถาดทองคำนี้มาที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา แล้วทรงอธิฐานเสี่ยงพระบารมีว่า “ถ้าทรงได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเสกสัมโพธิญาณแล้วขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ” แล้วทรงลอยถาดนั้นลงแม่น้ำ ขณะนั้นอานุภาพพระบารมีของพระองค์ซึ่งทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ได้แสดงให้เห็นความอัศจรรย์ ถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำเนขึ้นไปประมาณ 1 เส้น แล้วถาดทองนั้นก็จมลงในแม่น้ำจึงเรียกแม่น้ำนี้ว่า “แม่น้ำแห่งการตรัสรู้”
 
จากนั้นเดินทางไปชมความสวยงามของศิลปกรรมและความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาของแต่ละประเทศทั้งสายเถรวาทและสายมหายานของ “วัดพุทธนานาชาติ” ไม่ว่าจะเป็น วัดศรีลังกา วัดพม่า วัดทิเบต วัดภูฏาน วัดเกาหลี วัดจีน วัดญี่ปุ่น ซี่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน 
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย

จากนั้นนำท่านออกเดินทางสู่ “เมืองพาราณสี”เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งตั้งแต่ สมัยก่อนพุทธกาล (ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร)ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง

เดินทางถึงเมืองพาราณสี นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก ณ Madin Hotel”หรือระดับเทียบเท่า

ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่สี่  พาราณสี - สารนารถ – กุสินารา
เช้าตรู่

นำคณะเดินทางสู่ท่าเรือ นำท่านล่อง “แม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์”  ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 2500กิโลเมตร นมัสการพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ในแม่น้ำคงคา ชมวิธีการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเมืองริมฝั่งแม่น้ำคงคา อันเป็นแม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ซึ่งแม่น้ำแห่งนี้นั้นชาวฮินดูมีความเชื่อว่าผู้ใด ได้อาบ ดื่ม ถือเป็นมงคลของชีวิต และการลงอาบน้ำในแม่น้ำแห่งนี้นั้นสามารถชำระบาปที่มีมาทั้งชีวิตได้ ด้วยความศรัทธาเหล่านี้เอง จึงทำให้เกิด “โรงแรมมรณะ” ขึ้นริมฝั่งแม่น้ำ เป็นโรงแรมสำหรับผู้ป่วยหนักที่นอนรอความตายเพราะมีความเชื่อว่าหากผู้ใดได้เข้ามาตรงจุดนี้ จะเป็นผู้ที่มีบุญ  สถานที่แห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ของชาวฮินดู นักเดินทางจะได้เห็นประเพณีพิธีการอาบน้ำล้างบาป พิธีการปลงศพริมแม่น้ำคงคาที่มีความแตกต่าง โดยชาวฮินดูมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ถูกเผาในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะหลุดพ้นจากวงโคจรชีวิต ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ได้ขึ้นสวรรค์ในทันที  เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “จึงไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปโดยเด็ดขาด”

รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม

หลังอาหารเช้า นำคณะเดินทางต่อไปยัง เมืองสารนารถซึ่งเป็นเมืองบริวารของเมืองพาราณสีซึ่งอยู่ห่างออกไประยะทาง 10  กิโลเมตรนักเดินทางเข้านมัสการ เจาคันธีสถูป”สถานที่พระพุทธองค์ได้ทรงพบปัญจวัคคีย์ครั้งแรก  หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้งหมดผละหนีจากพระพุทธองค์ และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงระลึกถึงและทรงเมตตาโปรดให้รู้ธรรมตามจึงเสด็จมาพบ และเกิดพระรัตนตรัยขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก  ปัจจุบันเป็นเนินดิน สูงประมาณ 20 เมตร นมัสการ พระคันธกุฏิ เป็นกุฏิหลังแรกที่พระพุทธองค์จำพรรษาเป็นพรรษาแรก  หลังจากที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณแล้ว

นำคณะเดินทางนมัสการ ธัมเมกขสถูปสถานที่แสดงธรรมครั้งแรก สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ปัจจุบันองค์สถูปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28.50 เมตร สูง 33.53 เมตร เป็นสถูปทรงกลม ด้านในสร้างด้วยอิฐแดงเกาะกันจนแน่น ด้านนอกก่อด้วยหินทรายแดงแกะลวดลายสวยงาม หินแต่ละก้อนยาวประมาณ 1 เมตร กว้างครึ่งเมตร มีเหล็กเป็นสลักเชื่อมต่อแต่ละก้อนให้ยึดติดกัน มีช่อง 8 ช่อง หมายถึง มรรคแปด ในสมัยก่อนประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ในแต่ละช่อง

1100 น.
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารคณะเตรียมตัวเช็คเอาท์พร้อมออกเดินทางโดยรถเท็มโปปรับอากาศสู่ “เมืองกุสินารา”(ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร)
นำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ณ Om Residency Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่ห้า  กุสินารา –ลุมพินี (ประเทศเนปาล)
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ สถานที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันปรินิพาน และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ  ณ สาลวโนทยาน”  ซึ่งเดิมนั้นเป็นอุทยานของมัลลกษัตริย์ มีสถูปและปรินิพพานวิหาร ประดิษฐานอยู่ ซึ่งปรินิพพานวิหารนั้นภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่มีความสวยงามมาก  สันนิฐานว่าสร้างขึ้นในราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 9โดยเป็นศิลปะแบบเมถุลา ด้านหลังพระวิหารปรินิพพาน มีพระสถูปองค์หนึ่ง เรียกว่า ปรินิพพานสถูป สร้างในรัชสมัยพระเจ้าอโศก โดยมีประวัติว่า พระเจ้าอโศกเมื่อทรงมาถึงสถานปรินิพพาน ทรงเศร้าโศกพระทัย เพราะอาลัยถึงพระพุทธองค์ ถึงกับทรงวิสัญญีล้มสลบ และได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์หนึ่งแสน โปรดดำริให้ ก่อสร้างพระสถูปขนาดใหญ่ ขึ้นในบริเวณที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงให้สร้างคร่อมพระแท่นที่ ปรินิพพาน พร้อมด้วยต้นสาละนั่นเอง มีลักษณะเป็นสถูปทรงบาตรคว่ำ สูงราว 70ฟุต บนยอดมีฉัตร 3ชั้น
นำท่านเดินทางไป นมัสการมกุฏพันธนเจดีย์”เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล ระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร ระหว่างทางนำท่านแวะพุทธวิหาร สาลวโนทยาน 960 ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอินเดีย และเนปาลคณะเตรียมหนังสือเดินทางเพื่อข้ามเขตไปประเทศเนปาล นำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ณ Buddhamaya Hotel หรือเทียบเท่า
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่หก  ลุมพินี (ประเทศเนปาล)
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ มหาวิหารมายาเทวี”เพื่อสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ ณ สวนลุมพินี เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่ประสูติของสิทธัตถราชกุมาร คือจุดที่เสาศิลา ของพระเจ้าอโศกมหาราชตั้งอยู่ ยังมีข้อความภาษาพราหมณ์ จารึกไว้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นสถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายใน มหาวิหารมายาเทวี  มีศิลาสลักภาพพุทธประวัติปางประสูติ เป็นรูปพุทธมารดาอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งไม้สาละ มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะออกมาทางปัสสะขวาของพระพุทธมารดา และด้านหน้าของมหาวิหารนั้นสระโบกขรณี  ซึ่งเป็นที่สรงสนานของพระนางสิริมายาเทวี ก่อนจะให้ประสูติกาลพระกุมาร และหลังการประสูติ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ “กรุงกบิลพัสดุ์” (Kapilavastu)  ในสมัยพุทธกาลเป็นชื่อเมืองหลวงของแคว้นสักกะ เป็นเมืองของพระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงเจริญเติบโตและประทับอยู่จนกระทั่งพระชนมายุ 29 ปี ปัจจุบันเมืองนี้ตั้งอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนตอนเหนือประเทศอินเดีย ยังเหลือซากเมืองอยู่เป็นหลักฐาน ชื่อกบิลพัสดุ์ แปลตามศัพท์ว่า "ที่อยู่ของกบิลดาบส"เพราะบริเวณที่ตั้งเมืองนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของดาบสชื่อ กบิล พวกเจ้าศากยะได้มาจับจองตั้งเป็นเมืองขึ้นและตั้งชื่อเมืองใหม่นี้ว่ากบิลพัสดุ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กบิลดาบส นำคณะเดินทางกลับสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก ณ Buddhamaya Hotel หรือเทียบเท่า
วันที่เจ็ด  ลุมพินี - สาวัตถี 
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหาร นำท่านเช็คเอาท์ พร้อมออกเดินทางกลับสู่ประเทศอินเดียมุ่งหน้า สู่ “เมืองสาวัตถี”(ระยะทางประมาณ 185 กิโลเมตร) ระหว่างทาง ณ เขตชายแดนประเทศอินเดียและเนปาล นำท่านแวะพุทธวิหาร สาลวโนทยาน 960 เพื่อทำบุญและพักผ่อนอิริยาบถ จากนั้นนำท่านออกเดินทางต่อสู่เมืองสาวัตถี
เดินทางถึง เมืองสาวัตถี นำท่านเช็คอินเข้าสู่โรงแรมที่พักณ Pawan Palace Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
บ่าย
เดินทางสู่  “วัดเชตะวันมหาวิหาร”ที่ซึ่งพระพุทธองค์ประทับจำพรรษา นานถึง 19 พรรษา เป็นศุนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่สำคัญที่สุด นมัสการ พระคันธกุฏี ฤดูร้อน ฤดูหนาวและฤดูฝน นมัสการ ธรรมศาลา ที่ใหญ่ที่สุด ธรรมสภา กุฏิพระอรหันต์ เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระสิวลี พระอานนท์ พระราหุล พระองคุลิมาล พระมหากัสสปะ และอารามฝ่ายพระภิกษุที่เคยจำพรรษาในครั้งพุทธกาล นมัสการ อานันทะต้นโพธิ์ ที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน 
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
พักณ Pawan Palace Hotel”หรือระดับเทียบเท่า
วันที่แปด  สาวัตถี - ลัคเนาว์ 
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ชมคฤหาสน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านบิดาของ ท่านองคุลิมาล ชมสถานที่ธรณีสูบพระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา  จากนั้น ชมสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ มีลักษณะเป็นเนินดินสูงประมาณ 50 เมตร ที่แห่งนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ย์เพื่อโปรดประชาชนชาวสาวัตถี จากนั้น ทรงเสด็จไปประทับจำพรรษาที่ดาวดึงส์ เมื่อออกพรรษา ทรงเสด็จลงจากสวรรค์ในวันเทโวโรหนะที่สังกัสสะนคร
1100 น.
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้น ออกเดินทางสู่ “เมืองลัคเนาว์”(ระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร) 
ค่ำ
เดินทางถึงเมืองลัคเนาว์ รับประทานอาหารค่ำ จากนั้นได้เวลาสมควรออกเดินทางไปยังสนามบินเมืองลัคเนาว์
วันที่เก้า  ลัคเนาว์ – กรุงเทพฯ
0120 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบิน Thai Smileเที่ยวบินที่ WE 334
0630 น.
เดินทางถึง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

 

อัตราค่าบริการ
อัตราค่าบริการ     
ผู้ใหญ่พักห้องคู่  ราคา ท่านละ
49,900  บาท
ผู้ใหญ่พักห้องคู่  ราคา ท่านละ (ไม่รวมตั๋ว)
36,900 บาท
พักเดี่ยวจ่ายเพิ่ม
9,500  บาท
*ราคาดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนหากสายการบินมีการเปลี่ยนเวลาเดินทางหรือภาษีสนามบินเพิ่มเติม*
 
อัตราค่าบริการรวม
-    ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินสายการบินไทยสมายส์ (Thai Smile)ไป-กลับชั้นประหยัด (Economy Class)Bangkok- Gaya // Lucknow–     Delhi - Bangkok
-    ค่าโรงแรมที่พักตามที่ระบุในรายการ (พักห้องละ 2 ท่าน)
-    ค่าภาษีสนามบินไทย-อินเดีย
-    ค่าวีซ่าประเทศอินเดีย
-    ค่าวีซ่าประเทศเนปาล
-    อาหารทุกมื้อตามที่ระบุในรายการ พร้อมน้ำดื่มสะอาดวันละ 2 ขวดตลอดการเดินทาง
-    ค่ารถโค้ชปรับอากาศตลอดเส้นทาง ตามที่ระบุในรายการ
-    ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุในรายการ
-    กระเป๋าล้อลากอย่างดีท่านละ 1 ใบ พร้อมป้ายชื่อผูกกระเป๋าท่านละ 2 ชิ้น
-    ค่ารถม้าไปนมัสการพระพุทธเจ้าองค์ดำ ทั้งขาไปและขากลับ
-    ผ้ารองนั่ง สำหรับการปฏิบัติในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ท่านละ 1 ผืน
-    ค่าประกันอุบัติเหตุวงเงิน ท่านละ 1,000,000 บาท
-    ค่าทิปคนขนกระเป๋า คนขับรถ พร้อมผู้ช่วย ไกด์ท้องถิ่น 
                                                             
อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม   
-       ค่าทำหนังสือเดินทาง
-       ค่าน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางในกรณีที่เกินกว่าสายการบินกำหนด 30 กิโลกรัม
-       ค่าทำใบอนุญาตที่กลับเข้าประเทศของคนต่างชาติ หรือคนต่างด้าว
-       ค่าภาษีท่องเที่ยวหากมีการจัดเก็บ
-       ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
-       ค่ากล้องถ่ายรูป และค่ากล้องวีดีโอ หากจะนำไปถ่ายภาพภายในสถานที่ สำคัญ ซึ่งทางหัวหน้าทัวร์จะแจ้งให้ทราบ
-       ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่ท่าน สั่งมาทานนอกเหนือจากรายการ
-       ค่ามินิบาร์ โทรศัพท์ ฯลฯ  ในโรงแรม
-       ค่าเสลี่ยงขึ้นเขาคิชกูฏ พร้อมค่าทิป คนหามเสลี่ยง หากต้องการ ท่านละ ประมาณ 1,400 รูปี หรือเป็นเงินไทย ประมาณ 700 บาท ทั้งขาขึ้น และ ขาลง(สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เดินไม่สะดวก) เช็คราคาอีกครั้งเมื่อเดินทางถึงบริเวณตีนเขา
 
หมายเหตุ      ทางบริษัท ฯ จัดพระธรรมทูตให้เดินทางไปกับคณะเพื่อบรรยายประวัติและความเป็นมาในทางพุทธศาสนาในแต่ละสถานที่ ที่ท่านไปสักการะ ตลอดการเดินทาง

 

 
วันแรกของการเดินทาง                                             กรุงเทพฯ – ลัคเนาว์        
1900 น.
คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานแห่งชาติสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น 4 ประตู 3  เคาน์เตอร์  D สายการบินไทยสมายส์ โดยมีเจ้าหน้าที่คอย อำนวยความสะดวกในการตรวจเช็คสัมภาระ และบัตรโดยสารให้แก่คณะก่อนการออกเดินทาง
2200 น.
ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดย สายการบินไทยสมายส์เที่ยวบินที่ WE333 สู่ เมืองลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย โดยใช้ระยะเวลาการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง 
วันที่สองของการเดินทาง                                 ลัคเนาว์ – สาวัตถี
0020 น.
เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเมืองลัคเนาว์ ประเทศอินเดีย (เวลาท้องถิ่นในประเทศอินเดียช้ากว่าในประเทศไทย1 ชั่วโมง 30 นาที) หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองนำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก ณ.................
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารนำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่ “เมืองสาวัตถี”(ระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเข้าชมสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ มีลักษณะเป็นเนินดินสูงประมาณ 50 เมตร ที่แห่งนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ย์เพื่อโปรดประชาชนชาวสาวัตถี จากนั้น ทรงเสด็จไปประทับจำพรรษาที่ดาวดึงส์ เมื่อออกพรรษา ทรงเสด็จลงจากสวรรค์ในวันเทโวโรหนะที่สังกัสสะนคร จากนั้นชม “วัดเชตะวันมหาวิหาร”ที่ซึ่งพระพุทธองค์ประทับจำพรรษา นานถึง 19 พรรษา เป็นศุนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่สำคัญที่สุด นมัสการ พระคันธกุฏี ฤดูร้อน ฤดูหนาวและฤดูฝน นมัสการ ธรรมศาลา ที่ใหญ่ที่สุด ธรรมสภา กุฏิพระอรหันต์ เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระสิวลี พระอานนท์ พระราหุล พระองคุลิมาล พระมหากัสสปะ และอารามฝ่ายพระภิกษุที่เคยจำพรรษาในครั้งพุทธกาล นมัสการ อานันทะต้นโพธิ์ ที่มีอายุยืนยาวมาจนถึง ปัจจุบัน ชมคฤหาสน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านบิดาของท่านองคุลิมาล ชมสถานที่ธรณีสูบพระเทวทัต และนางจิญจมาณวิกา
นำคณะเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก 
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่สามของการเดินทาง                                  สาวัตถี – ลุมพินี 
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศเข้าสู่เมืองลุมพินี ประเทศเนปาล ระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร ระหว่างทางนำท่านแวะพุทธวิหาร สาลวโนทยาน 960 ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอินเดีย และเนปาลคณะเตรียมหนังสือเดินทางเพื่อข้ามเขตไปประเทศเนปาล
เที่ยง
รับประทานาอาหารกลางวัน ณ ห้องหอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่มหาวิหารมายาเทวี”เพื่อสักการะสถานที่ประสูติของพระพุทธองค์ ณ สวนลุมพินี เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่ประสูติของสิทธัตถราชกุมาร คือจุดที่เสาศิลา ของพระเจ้าอโศกมหาราชตั้งอยู่ ยังมีข้อความภาษาพราหมณ์ จารึกไว้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นสถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายใน มหาวิหารมายาเทวี  มีศิลาสลักภาพพุทธประวัติปางประสูติ เป็นรูปพุทธมารดาอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งไม้สาละ มีรูปเจ้าชายสิทธัตถะออกมาทางปัสสะขวาของพระพุทธมารดา และด้านหน้าของมหาวิหารนั้นสระโบกขรณี  ซึ่งเป็นที่สรงสนานของพระนางสิริมายาเทวี ก่อนจะให้ประสูติกาลพระกุมาร และหลังการประสูติ
นำคณะเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก อิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่สี่ของการเดินทาง                                                  ลุมพินี – กุสินารา
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารนำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศสู่เมืองกุสินารา (ระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร)
เที่ยง
รับประทานนอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ สถานที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันปรินิพาน และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ  ณสาลวโนทยาน”  ซึ่งเดิมนั้นเป็นอุทยานของมัลลกษัตริย์ มีสถูปและปรินิพพานวิหาร ประดิษฐานอยู่ ซึ่งปรินิพพานวิหารนั้นภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ที่มีความสวยงามมาก  สันนิฐานว่าสร้างขึ้นในราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 9โดยเป็นศิลปะแบบเมถุลา ด้านหลังพระวิหารปรินิพพาน มีพระสถูปองค์หนึ่ง เรียกว่า ปรินิพพานสถูป สร้างในรัชสมัยพระเจ้าอโศก โดยมีประวัติว่า พระเจ้าอโศกเมื่อทรงมาถึงสถานปรินิพพาน ทรงเศร้าโศกพระทัย เพราะอาลัยถึงพระพุทธองค์ ถึงกับทรงวิสัญญีล้มสลบ และได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์หนึ่งแสน โปรดดำริให้ ก่อสร้างพระสถูปขนาดใหญ่ ขึ้นในบริเวณที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงให้สร้างคร่อมพระแท่นที่ ปรินิพพาน พร้อมด้วยต้นสาละนั่นเอง มีลักษณะเป็นสถูปทรงบาตรคว่ำ สูงราว 70ฟุต บนยอดมีฉัตร 3ชั้น
นำท่านเดินทางไป นมัสการมกุฏพันธนเจดีย์”เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึ่งปัจจุบันเป็นซากเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
นำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก ให้ทุกท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่ห้าของการเดินทาง                                      กุสินารา –ไวสาลี – ปัตนะ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางสู่ “เมืองไวสาลี” (Vaishali)เมืองหลวงของอาณาจักรวัชชี หนึ่งใน 16
แค้วนของชมพูทวีปในสมัยโบราณ เมืองนี้มีชื่อหลายชื่อคือ ไพสาลี, ไวสาลี และเมืองนี้เป็นศูนย์กลางการเผยแพร่พุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่ง รวมทั้งเป็นที่กำเนิดของพระมหาวีระศาสดาของศาสนาเชนและที่เป็นต้นกำเนิดของการทำน้ำมนต์ในพุทธศาสนา เนื่องจากได้เกิดทุพิกขภัยร้ายแรงทั่วเมืองเวสาลีมีคนตายมากมาย กษัตริย์ลิจฉวีจึงได้นิมนต์ให้พระพุทธเจ้าได้มาโปรดชาวเมือง พระพุทธเจ้าจึงนำเหล่าภิกษุ 500 รูป เดินทางไปโปรดที่เมืองเวสาลีพร้อมทั้งได้มีการประพรมน้ำมนต์ทั่วทั้งเมือง (ระยะการเดินทางประมาณ 180 กิโลเมตร)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม “บริเวณคันธเจดีย์”เป็นบริเวณที่กษัตริย์ลิจฉวีได้จัดพิธีต้อนรับพระพุทธองค์ ที่เสด็จมาสู่เวสาลี พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างเสาหินพระเจ้าอโศกมียอดเสาเป็นรูปสิงห์หมอบขนาดใหญ่เพียงตัวเดียว (เสานี้ต่างจากเสาอื่นๆ ที่มักมีสิงห์ 4 ตัวหันหลังชนกัน) ที่นี่ถือว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดมีอายุเกือบ 2300 ปีมาแล้ว ชม “สังฆาราม”และ “ปาวาลเจดีย์”สถานที่พระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขารเป็นครั้งสุดท้าย ต่อจากนั้นอีก 3 เดือน จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่กุสินารา ปัจจุบันเหลือแต่ตอซากเจดีย์ เดินทางต่อสู่ “เมืองปัตนะ” (ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร) ระหว่างทางผ่านชมวิถีชีวิตของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง
ค่ำ
เดินทางถึงเมืองปัตนะ จากนั้นนำคณะเดินทางสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่หกของการเดินทาง                                         ปัตนะ – ราชคฤห์ –  นาลันทา – พุทธคยา
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
คณะออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศไปยัง เมืองราชคฤห์”(ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร)เมืองราชคฤห์ เป็นอดีตมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นมคธในสมัยพุทธกาลและเป็นเมืองศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก จัดเป็นเมืองใหญ่หนึ่งในหกของอินเดียโบราณตั้งอยู่ทางตะวันออกของชมพูทวีป ซึ่งปัจจุบัน คือ จังหวัดนาลันทา ในรัฐพิหาร ภายในตัวเมืองนั้นจะเป็นเมืองเก่ามีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก แต่ภายนอกออกไปทางด้านนาลันทาจะเป็นชุมชนใหญ่ และภายในตัวเมืองราชคฤห์นั้นจะมีโบราณสถานต่างๆ อยู่มากมาย
จากนั้นนำคณะเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ”ซึ่งเป็นเขาที่เอียงลาดยาวขึ้นไป ลักษณะทางขึ้นนั้นไม่ลำบากมากนัก ระหว่างทางไปเขาคิชฌกูฏ  จะผ่านชีวกัมพวัน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกในพระพุทธศาสนาหมอชีวกได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนักหมอชีวก หรือ “ชีวกโกมารภัจจ์” ซึ่งเป็น บุตรของนางสาลวตี ซึ่งเป็นหญิงนครโสเภณีประจำ กรุงราชคฤห์ เมื่อนางคลอดลูกออกมาเป็นชายก็ได้นำไปทิ้งยังกองขยะ ต่อมาอภัยราชกุมารไปพบเข้าจึงนำไปเลี้ยงไว้ในวัง และให้ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่เมืองตัก-กสิลา นครหลวงแห่งแคว้นคันธาระเมื่อจบออกมาก็เป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากผ่านชมถ้ำสุกรขาตา”ซึ่งเป็นถ้ำที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ และเป็นที่ที่พระเทวฑัตกลิ้งก้อนหินใส่พระพุทธองค์ บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้นจะเป็นลานกว้างพอสมควรมีอิฐปรักหักพังลักษณะสี่เหลี่ยมเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์และมีกุฏิวิหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์อีกหลายท่าน และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองราชคฤห์ในมุมสูง จากนั้นเดินทางไปชม วัดเวฬุวัน”ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกที่เกิดในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระพุทธองค์ และพระอัครสาวกได้อุปสมบท ณ วัดแห่งนี้ เป็นสถานที่ประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาตซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 1250 รูปเดินทางมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหารกลางวันนำคณะเดินทางเดินทางเข้าสู่ เมืองนาลันทา(เมืองแห่งอัครสาวก บ้านเกิดของพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา) เมื่อเดินทางถึงนำคณะไปสักการะหลวงพ่อองค์ดำ”พระพุทธรูปที่มีอายุเก่าแก่และศักสิทธิ์ โดยนั่งรถม้า หลวงพ่อองค์ดำ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง 60  นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บาง องคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจางชาวอินเดียนับถือศรัทธา ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมากเวลา ลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อนแล้วลูบ เอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่าหลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า”เตลิยะบาบา” บางคนก็ ขนาน  นามท่านว่า”หลวงพ่ออ้วน”หรือภาษาอินเดีย ว่า”โมต้าบาบา”เดินทางกลับโดยรถม้าเพื่อเข้าชมมหาวิทยาลัยนาลันทา
 
“มหาวิทยาลัยนาลันทา”ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 จากนั้นได้มีการสร้างติดต่อกันเรื่อยมาอีกหลายยุค อันมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานศึกษาแก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สถานที่แห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและเผยแผ่พุทธศาสนาไปสู่นานาอารยะประเทศโดยเฉพาะนิกายมหายาน มหาวิทยาลัยนาลันทาเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้ประมาณ 800 ปี จึงเริ่มเสื่อมสลายลง แต่เหตุการณ์ที่ทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทาอย่างรุนแรง คือ การที่พวกมุสลิมเติร์ก รุกรานเข้ามาในราวปี ค.ศ.1742  ในช่วงที่ทำสงครามกันอยู่ยาวนานกว่า 300 ปี มีการกวาดล้างศาสนาต่างๆบังคับให้เข้าศาสนาตน ฆ่าพระสงฆ์ นักบวชฮินดู ตลอดจนผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา เผาทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างและตำราต่างๆที่มีอยู่มากมายมหาศาลจนหมดสิ้น   มหาวิทยาลัยนาลันทาล่มสลายจมลงอยู่ใต้พื้นพิภพ นานถึง 625 ปี เพิ่งมาขุดค้นพบ กันอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยชาวอังกฤษ การขุดสำรวจ ภายในเนื้อที่ 230 ไร่ ได้พบซากบางส่วนของมหาวิทยาลัยนาลันทา หอประชุม ที่พักนักศึกษา ห้องเรียน โรงอาหาร สังฆาราม เป็นต้น  จากนั้นนำท่านกลับโดยรถม้าเพื่อเดินทางขึ้นรถโค้ช เพื่อเดินทางสู่ เมืองคยา หรือ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งศาสนาพุทธ สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และ เป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ (ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร)
ค่ำ่
เดินทางถึง เมืองคยา นำท่านเช็คอินเข้าสู่โรงแรมที่พัก 
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่เจ็ดของการเดินทาง                                           พุทธคยา
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้า นำคณะเดินทางสู่“เขาดงคสิริ”สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา บำเพ็ญตนด้วยการอดอาหารและทรมานพระวรกาย ขณะที่ยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะจากนั้นนำคณะเดินทางไปยังบริเวณบ้าน “นางสุชาดา”ซึ่งนางสุชาดานั้นเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาส ( ข้าวที่หุงกวนด้วยน้ำผึ้งและนม ) ด้วยเข้าใจว่าพระพุทธองค์ที่นั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้คือรุกขเทวดาที่ช่วยให้นางได้ลูกชายสมปรารถนาจึงนำข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองไปถวายเพื่อแก้บน หลังจากฉันท์อาหารนั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้นำถาดทองคำนี้มาที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา แล้วทรงอธิฐานเสี่ยงพระบารมีว่า “ถ้าทรงได้ตรัสรู้แก่พระปรมาภิเสกสัมโพธิญาณแล้วขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ”แล้วทรงลอยถาดนั้นลงแม่น้ำ ขณะนั้นอานุภาพพระบารมีของพระองค์ซึ่งทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้ว ได้แสดงให้เห็นความอัศจรรย์ ถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำเนขึ้นไปประมาณ 1 เส้น แล้วถาดทองนั้นก็จมลงในแม่น้ำจึงเรียกแม่น้ำนี้ว่า “แม่น้ำแห่งการตรัสรู้ ”แล้วนำท่านชม วัดทิเบต วัดญี่ปุ่น วัดภูฎาน และวัดไทย ซึ่งแต่ละวัดมีความงดงามที่แตกต่างกัน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเข้า เยี่ยมชมสักการะ มหาเจดีย์พุทธคยา”ซึ่งมีความสูง 52 เมตร มีองค์ประกอบส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ส่วนกลางเป็นทรงปรางค์คล้ายพีระมิด และส่วนล่างนั้นเป็นวิหารซึ่งสามารถประกอบศาสนกิจได้ และภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นพระพุทธปฏิมากรปางมารวิชัย ที่สวยงามมาก สร้างจากหินแกรนิตสีดำในสมัยราชวงศ์ปาละ มีอายุกว่า 1,500 ปี ให้ท่านได้มีเวลาสักการบูชา  อธิษฐานขอพร พระพุทธเมตตา ด้านหลังของมหาเจดีย์พุทธคยาเป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์”  และระหว่างต้นพระศรีมหาโพธิ์กับมหาเจดีย์พุทธคยาประดิษฐานพระแท่นวัชรอาสน์ ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จขึ้นประทับบำเพ็ญเพียรด้วยสมาธิโดยพระแท่นวัชรอาสน์เป็นแท่นหินสี่เหลี่ยมสลักลวด ลาย สร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช   
***บริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ในการถ่ายรูป ต้องเก็บไว้ในรถเท่านั้น แต่สามารถใช้กล้องถ่ายรูปได้***
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่แปดของการเดินทาง                                             พุทธคยา – พาราณสี  
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำคณะเดินทางไปชมความสวยงามของศิลปกรรมและความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาของแต่ละประเทศทั้งสายเถรวาทและสายมหายานของ วัดพุทธนานาชาติไม่ว่าจะเป็น วัดศรีลังกา วัดพม่า วัดทิเบต วัดภูฏาน วัดเกาหลี วัดจีน วัดญี่ปุ่น ซี่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน 
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน 
หลังรับประทานอาหาร นำท่านออกเดินทางสู่ “เมืองพาราณสี”เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งตั้งแต่ สมัยก่อนพุทธกาล (ระยะทางประมาณ 270 กิโลเมตร)
ค่ำ
เดินทางถึงเมืองพาราณสี นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
วันที่เก้าของการเดินทาง                                                  พาราณสี – สารนารถ – ลัคเนาว์ 
เช้าตรู่
นำคณะเดินทางสู่ท่าเรือเพื่อนำท่านล่อง แม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์”  ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 2500 กิโลเมตร นมัสการพระบรมสารีริกธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ในแม่น้ำคงคา ชมวิธีการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเมืองริมฝั่งแม่น้ำคงคา อันเป็นแม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ซึ่งแม่น้ำแห่งนี้นั้นชาวฮินดูมีความเชื่อว่าผู้ใด ได้อาบ ดื่ม ถือเป็นมงคลของชีวิต และการลงอาบน้ำในแม่น้ำแห่งนี้นั้นสามารถชำระบาปที่มีมาทั้งชีวิตได้ ด้วยความศรัทธาเหล่านี้เอง จึงทำให้เกิด “โรงแรมมรณะ” ขึ้นริมฝั่งแม่น้ำ เป็นโรงแรมสำหรับผู้ป่วยหนักที่นอนรอความตายเพราะมีความเชื่อว่าหากผู้ใดได้เข้ามาตรงจุดนี้ จะเป็นผู้ที่มีบุญ  สถานที่แห่งนี้ ยังเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ ของชาวฮินดู นักเดินทางจะได้เห็นประเพณีพิธีการอาบน้ำล้างบาป พิธีการปลงศพริมแม่น้ำคงคาที่มีความแตกต่าง โดยชาวฮินดูมีความเชื่อกันว่าผู้ที่ถูกเผาในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะหลุดพ้นจากวงโคจรชีวิต ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ได้ขึ้นสวรรค์ในทันที  เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ “จึงไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปโดยเด็ดขาด”
0700 น.
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำคณะเดินทางต่อไปยัง เมืองสารนารถซึ่งเป็นเมืองบริวารของเมืองพาราณสีซึ่งอยู่ห่างออกไประยะทาง 10  กิโลเมตรนักเดินทางเข้านมัสการ เจาคันธีสถูป”สถานที่พระพุทธองค์ได้ทรงพบปัญจวัคคีย์ ครั้งแรก  หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้งหมดผละหนีจากพระพุทธองค์ และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงระลึกถึงและทรงเมตตาโปรดให้รู้ธรรมตามจึงเสด็จมาพบ และเกิดพระรัตนตรัยขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก  ปัจจุบันเป็นเนินดิน สูงประมาณ 20 เมตร นมัสการ พระคันธกุฏิ เป็นกุฏิหลังแรกที่พระพุทธองค์จำพรรษาเป็นพรรษาแรก  หลังจากที่ทรงตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณแล้ว
นำคณะเดินทางนมัสการ ธัมเมกขสถูปสถานที่แสดงธรรมครั้งแรก สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ปัจจุบันองค์สถูปมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28.50 เมตร สูง 33.53 เมตร เป็นสถูปทรงกลม ด้านในสร้างด้วยอิฐแดงเกาะกันจนแน่น ด้านนอกก่อด้วยหินทรายแดงแกะลวดลายสวยงาม หินแต่ละก้อนยาวประมาณ 1 เมตร กว้างครึ่งเมตร มีเหล็กเป็นสลักเชื่อมต่อแต่ละก้อนให้ยึดติดกัน มีช่อง 8 ช่อง หมายถึง มรรคแปด ในสมัยก่อนประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ในแต่ละช่อง
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังอาหาร นำคณะเดินทางสู่ เมืองลัคเนาว์ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 7ชั่วโมง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ได้เวลาสมควร ได้เวลาสมควร นำคณะเดินทางสู่สนามบินนานาชาติเมืองลัคเนาว์ เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับประเทศไทย
วันที่สิบของการเดินทาง                                 ลัคเนาว์ – กรุงเทพฯ
0120 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยสมายส์ เที่ยวบินที่ WE334
0630 น.
เดินทางถึง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

 

โปรแกรมการเดินทาง
เยือน“ดินแดนสุดขอบฟ้าสู่หลังคาโลก”
บนเทือกเขาหิมาลัย เลห์ ลาดักห์ หรือ “ธิเบตน้อย”
“เทศกาลระบำหน้ากาก”
ดินทางระหว่าง : วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560 - วันอาทิตย์ ที่ 07 กรกฎาคม 2560
โดยสายการบิน Jet Airways
วันแรกของกาารเดินทาง                           กรุงเทพฯ - เดลลี     
1500 น.
พร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศชั้น 4 ประตู 7 แถวP สายการบิน Jet Airwaysเจ้าหน้าที่จากบริษัทจะคอยให้การต้อนรับอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน
1755 น.
ออกเดินทางสู่เมืองนิวเดลลีประเทศอินเดีย โดยสายการบิน Jet Airwaysเที่ยวบินที่ 9W 63
2055 น.
(เวลาท้องถิ่น) เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธี ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้ว รับกระเป๋าสัมภาระ จากนั้นรอต่อเครื่องเช็กอินที่เค้าเตอร์ สายการบิน Jet Airways เพื่อทำการบินเข้าสู่เมืองเลห์ ต่อไป 
วันที่สองของการเดินทาง                             เดลลี - เลห์   
0655 น.
ออกเดินทางจาก กรุงนิวเดลลี สู่เมืองเลห์ เมืองศูนย์กลางของการท่องเที่ยวของลาดัคห์ โดยสายการบิน Jet Airwaysเที่ยวบินที่ 9W 2366ใช้เวลาบินโดยประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที รับประทานอาหารเช้าบนเครื่อง
0820 น.
เดินทางถึงสนามบินเลห์ รับสัมภาระผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้วออกเดินทางสู่ “เมืองเลห์”
หลังจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ที่พัก ณ โรงแรมฮอลิเดย์ ลาดักห์ (Hotel Holiday Ladakh) หรือเทียบเท่า
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยง สามารถพักผ่อนหรือเพลิดเพลิน ชมความงดงามของเมืองเลห์ สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นและเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองที่ ตลาดเลห์ “Leh Market”ตามอัธยาศัย 
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ 
วันที่สามของการเดินทาง                                            พระราชวังเลห์ - เจดีย์สันติภาพ - วัดนำเกลเซโม
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังจากรับประทานอาหารเช้า นำท่านเดินชม พระราชวังเลห์ “Leh Palace” ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจัตุรัสกลางเมืองเลห์ พระราชวังเลห์สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1630 มีทั้งหมด 9 ชั้น  สร้างโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อระลึกถึงผู้เป็นพระบิดา Singge Namgyal กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง ก่อสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนในอดีตเป็นที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรม ใกล้เคียงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบต คือมีผนังเอียงเข้าหากันทุกด้าน  
นำท่านเยี่ยมชม เจดีย์สันติภาพ “Shanti Stupa” เจดีย์สีขาวทรงโดมตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสร้างขึ้นในปี ค.ศ 1985 โดยพุทธศาสนิกชนชาวญี่ปุ่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสันติสุข และสงบใต้ฐานพระเจดีย์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอัญเชิญโดยพระดาไลลามะองค์ที่ 14 คือ Dalai Lama, Tenzin Gyatsoภายในประดับตกแต่งด้วยรูปภาพต่างๆ สถานที่ศักดิ์สิทธิแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ได้เป็นอย่างดี
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
เยี่ยมชม วัดนัมเกล เซโม และ ป้องแห่งชัยชนะNamgyal Tsemo Gompa”วัดนัมเกล เซโมและป้องแห่งชัยชนะ อยู่ในเทือกเขาเดียวกับพระราชวังเลห์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1430 มีพระพุทธรูปความสูงประมาณอาคาร 3 ชั้น ในอดีตเคยเป็นพระตำหนักที่ประทับของกษัตริย์ซิงเก นัมเกล ปัจจุบันเป็นสำหนักงานของหน่วยอนุรักษ์โบราณสถานของรัฐบาลอินเดียสาขาลาดักห์ ป้อมแห่งชัยชนะนั้นสร้างเพื่อเป็นการฉลองชัยชนะเหนือกองทัพบัลติแคชเมียร์ ช่วงต้นศตวรรษ      ที่ 16 เป็นอีกจุดชมวิวเมืองเลห์ที่งดงาม
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก ณ โรงแรมฮอลิเดย์ ลาดักห์ (Hotel Holiday Ladakh) หรือเทียบเท่า
วันที่สี่ของการเดินทาง                                          วัดเฮมิส - วัดธิคเซย์ – พระราชวังเชย์ - สตอคพาเลซ       
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้า นำท่านออกเดินทางสู่ วัดเฮมิส “Hemis Gompa”หรือวัดลามะนิกายหมวกแดงตั้งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 45 กิโลเมตร เป็นวัดโบราณที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในดาลักห์ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 โดยพระเจ้าเซงกี วัดเฮมิสได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกในปี ค.ศ. 1998 วัดเฮมิสเป็นวัดพุทธตันตระนิกายหมวกแดงหรือนิกายนิงห์มาปา เป็นนิกายดั้งเดิมของศาสนาพุทธสายทิเบต ท่านปัทมสัมภวะหรือที่ชาวทิเบตเรียกว่า คุรุริมโปเช ซึ่งเป็นภิกษุรูปแรกที่เดินทางจากอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. 1350 ที่ได้นำศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในทิเบตและเป็นผู้ให้กำเนิดนิกายหมวกแดง
นำท่านรับชมการแสดงเทศกาลระบำหน้ากากวัดเฮมิสจะมีเทศกาลประจำปีเรียกว่า เฮมิส-เตชู (Hemis Tse-Chu) อันเปรียบเสมือนงานบุญใหญ่และมหาพิธีแห่งลาดักห์ คำว่า เตชู หมายถึง วันที่ 10 งานเฮมิส-เตชู จึงจัดขึ้นทุกวันที่ 10-11 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของทิเบต เพราะวันที่ 10 เดือน 5 ถือเป็นวันคล้ายวันสมภพของท่านปัทมสัมภวะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นปีเกิดของท่านปัทมสัมภวะ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
จากนั้นนำท่านชม วัดธิคเซย์  “Thiksey Gompa” หรือวัดลามะนิกายหมวกเหลือง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ไปทางทิศใต้ประมาณ 17 กิโลเมตร สถาปนาครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 โดยท่าน เซรัป ซังโป แห่งสต๊อคในหุบเขาซันสการ์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1430 ท่าน ปัลเลน เซรัป หลานของท่านเซรัป ซังโป ได้ทำการก่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ ฝั่งเหนือของแม่น้ำสินธุ เป็นพระอารามใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขากลางทุ่งราบ ฉาบด้วยสีแดงและขาวเรียงรายลดหลั่นตามเนินเขานับร้อยหลัง มีกุฏิรายล้อมอยู่รอบอารามหลักสูง 12 ชั้น รูปทรงของวัดมีความคล้ายคลึงกับ พระราชวังโปตาลา จนได้รับฉายาว่า Mini Potala นิกายหมวกเหลือง ถือกำเนิดในทิเบตขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 14 โดยท่าน ชงคาปะ จุดเด่นของนิกายหมวกเหลือง คือ พระลามะจะเน้นความเคร่งครัดในธรรมวินัย วัตรปฏิบัติ พระสูตร ที่เป็นวิชาการ รวมถึงการวิเคราะห์ธรรมะโดยวิธีตรรกวิภาษ
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเชย์ “Shey”เมืองหลวงเก่าของลาดัคห์เยี่ยมชม พระราชวังเชย์ “Shey Palace”ถูกสร้างขึ้นราวๆ ต้นศตวรรษที่17สร้างโดยกษัตริย์ Deldan Namgyal เพื่อเป็นการระลึกถึงผู้เป็นพระบิดา Singay Namgyal กำแพงพระราชวังถูกฉาบด้วยทองคำผสมทองแดง ก่อสร้างเพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อน ของกษัตริย์แห่งลาดัคห์ ภายในมีรูปปั้นของพระศากยมุณี ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
จากนั้นนำท่านชม พิพิธภันฑ์สต๊อคพาเลส “Stock Palace Museum”เป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์ราชวงศ์นัมเกียลแห่งลาดักห์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1814 มีความสูงถึง 4 ชั้น ภายในมีห้องมากว่า 77 ห้อง ในช่วงเวลาที่อาณาจักรลาดักห์กำลังเริ่มเสื่อมอำนาจลง เพราะเพื่อนบ้านชาวซิกข์จากแคว้นปัญจาบกำลังเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง พอถึงปี ค.ศ. 1834 เมื่อ กุหลาบสิงห์ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งลาดักห์ จึงจำต้องสละราชบัลลังก์จากเลห์มาอยู่ที่พระราชวังสตอคแห่งนี้อย่างถาวรและเปิดทางให้ศาสนาอิสลามเข้ามาสถาปนาตั้งมั่นอยู่ในเลห์นับแต่นั้นมา
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ
หลังอาหารเย็น นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พักณโรงแรมฮอลิเดย์ ลาดักห์ (Hotel Holiday Ladakh) หรือเทียบเท่า 
วันที่ห้าของการเดินทาง                                           นูบราวัลเลย์ - เมืองเดสกิต  
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห่องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้า เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมที่พัก
นำคณะออกเดินทางขี้นทางเหนือสู่ นูบราวัลเลย์ “Nubra Valley”หรือหุบเขาแห่งทะเลทรายและดอกไม้ (ระยะทาง 150 กม.) นูบราหมายถึงหุบเขาแห่งดอกไม้ อาชีพหลักของชาวพี้นเมืองคือ ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ น้ำมันมะกอก ลูกแพร ถั่ว แอปเปิ้ล วอลนัท อัลมอนด์ ฯลฯ ชาวพื้นเมืองใช้ภาษาลาดักห์ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ในช่วงเดือนสิงหาคมเป็นฤดูของดอกกุหลาบและดอกลาเวนเดอร์ ระหว่างทางเห็นวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้าน กาตอง คัลเซอร์ ซูมู พานามิค และเมืองเดสกิส โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาหิมาลัยและเทือกเขาคาราโครัม เทือกเขาแห่งนี้เป็นเขตแดนตามธรรมชาติ ที่กั้นพรมแดนระหว่าง อินเดียและปากีสถาน ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ 1994 ทางการอินเดียไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในหุบเขานี้ หลังจากนั้น นำท่านเดินทางผ่านเส้นทางรถยนต์ที่สูงที่สุดของโลก คาร์ดุง ลา “Khardungla”ความสูง 18,380 ฟุต
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน 
หลังรับประทานอาหาร นำท่านชมเมือง เดสกิต “Deskit Villa”เมืองเก่าแก่และเป็นดินแดน แห่ง พระพุทธศาสนาที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทรายชมโบราณสถานและศาสนสถานที่สำคัญ และเก่าแก่ สร้างในปีค.ศ. 1420 ในปัจจุบันครอบครองโดย เจลูป้าหรือลามะสวมหมวกเหลือง จากนั้นนำท่านเดินทางผ่านหมู่บ้านซูมูไปชมความงดงามของธรรมชาติที่ พานามิกหรือบ่อน้ำพุร้อน “Panamik Hot Water Spring”บ่อน้ำพุร้อนบริสุทธิ์ ที่เกิดจากแร่กำมะถัน ที่มีชื่อเสียงที่ทำให้การเดินทางของท่านหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งหากได้สัมผัสน้ำที่บริสุทธิ์จากน้ำพุร้อนของที่นี่
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ
หลังรับประทานอาหารค่ำ นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม แกรนด์ นูบรา (Hotel Grand Nubra) หรือเทียบเท่า
วันที่หกของการเดินทาง                                    ทะเลสาบพันกอง
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้า นำคณะออกเดินทางสู่ทะเลสาบพันกอง “Pangong Lake” หรือทะเลสาบแปงกอง เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 4,320 เมตร จากระดับน้ำทะเล ทะเลสาบพันกองหรือที่ชาวทิเบตเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า แปงกองโซ (Pangong Tso) คำว่า Tso ในภาษาทิเบตหมายถึงทะเลสาบ โดยคำว่า แปง หมายถึง สูง คำว่า กอง หมายถึง น้ำ แปงกอง จึงหมายถึง ผืนน้ำที่อยู่บนดินแดนที่สูงสุดของหลังคาโลก
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน
ชมความงามของทะเลสาบพันกอง “Pangong Lake”  ซึ่งมีความยาวถึง 40 ไมล์ และกว้าง 2-4 ไมล์เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงสุดในโลกคือ มีความสูงถึง 14,256 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชมความงามของทะเลสาบที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง ทางการเพิ่งเปิดให้ นักท่องเที่ยวเข้าชมเมื่อไม่นานมานี้ น้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีสันที่งดงามมากโดยเฉพาะในช่วงเย็นน้ำจะมีสีน้ำเงินเข้ม ส่วนในช่วงเช้าจะมีสีที่อ่อนกว่าและพื้นที่ 75% ของทะเลสาบอยู่ในดินแดนทิเบตอีก 25% อยู่ในเขตของประเทศอินเดีย
จากนั้นนำคณะเดินทางกลับสู่เมืองเลห์
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ
หลังอาหารเย็น นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก ณโรงแรมฮอลิเดย์ ลาดักห์ (Hotel Holiday Ladakh) หรือเทียบเท่า
วันที่เจ็ดของการเดินทาง                                 วัดอัลชิ - วัดลามายูรู
เช้า 
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังรับประทานอาหารเช้า นำท่านออกเดินทางโดยรถยนต์สู่ อัลชิ “Alchi”(ระยะทางโดยประมาณ 62 กม.) เป็นหมู่บ้านชาวทิเบตชุมชนเก่าแก่เช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นในลาดักห์ แถวหมู่บ้านอัลชิเป็นเขตที่อุดมไปด้วยน้ำในยามฤดูร้อนทำให้มีน้ำเพียงพอสมบูรณ์สำหรับปลูกพืชผลเช่น ข้าวสาลี พืชผักต่างๆ แอปเปิ้ล แอปริคอต ที่อัลชิเป็นหมู่บ้านที่ปลูกแอปเปิ้ลมากแห่งหนึ่งของลาดักห์ ระหว่างทางไปวัดอัลชิ แวะชมความงดงามของBasgo Palace”อยู่ทางทิศตะวันตกของเลห์ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16
นำท่านเยี่ยมชมวัดอัลชิ “Alchi Gompa”เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง สร้างในปี ค.ศ. 1020 - 1035 ตั้งอยู่หมู่บ้านอัลชิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ เป็นวัดที่ไม่ได้อยู่บนภูเขาเช่นเดียวกับที่อื่นๆ จุดเด่นมีศิลปกรรมการแกะสลักไม้ทั้งภายในและภายนอกตัวอาคาร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอันทรงคุณค่า การเข้าชมภาพจิตรกรรมอาจต้องใช้ไฟฉายช่วยในการมองเห็นตัววิหารของวัดสร้างด้วยไม้แกะสลักต่างๆผสมโครงสร้างอิฐในรูปแบบชาวพื้นเมือง ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำอยู่ อัลชิ กอมปา วัดประกอบด้วยอารามห้าหลัง ได้แก่ อารามดูคัง , อารามซุมเต็ก , อารามลาคัง โซมา , อารามมัญชุศรี และอารามลอตซาวา ลาคัง แม้แต่ละอารามจะมีขนาดย่อม แต่ก็เต็มไปด้วยศิลปะอันวิจิตร ซึ่งรังสรรค์โดยช่างฝีมือจากทิเบตและแคชเมียร์ จากนั้นชมหมู่บ้านอัลชิสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมือง
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน 
หลังรับประทานอาหาร นำท่านออกเดินทางกันต่อโดยรถยนต์ สู่ ลามายูรู “Lamayru”เป็นหุบเขาของเมืองแห่งนี้มีสภาพคล้ายพื้นผิวดวงจันทร์หรือ Moon Land
นำท่านเยี่ยมชมวัดลามายูรู “Lamayuru Monastery”มีอีกชื่อหนึ่งว่า ยุงตรุง ทาปาลิง กอมปา ตั้งอยู่บนหุบเขาสูงและสามารถมองเห็นหุบเขาและหมู่บ้านลามายูรูได้อย่างชัดเจน ก่อศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropa เป็นวัดในพระพุทธศาสนานิกายหมวกแดง เดิมที วัดลามะยูรู เคยเป็นของสงฆ์ ฝ่ายกาดัมปะ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นวัดของสงฆ์สายตริกุง-กาจูรย์ เป็นวัดที่มีจุดเด่น คือ อากาศที่สดชื่นเย็นสบายและทัศนียภาพที่ตระการตา ขณะเดียวกันเราก็สามารถมองเห็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมและดำเนินกิจวัตรอย่างสงบ แต่เดิมในอดีตวัดลามายูรูเคยมีจำนวนพระสงฆ์อยู่กว่า 400 รูป แต่ปัจจุบันเหลือพระจำพรรษาอยู่อย่างถาวรเพียงประมาณ 150 รูป โดยพระสงฆ์ส่วนที่เหลือได้ย้ายออกออกไปจำวัดในหมู่บ้านรอบๆ เมื่อมีพิธีสำคัญประจำปีทางศาสนาจึงจะเดินทางมาร่วม พิธีนั้นเรียกกันว่า ญูรู ฆับจ์ยัต (Yuru Kabgyat) ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันที่ 17-18 เดือนห้า ตามปฏิทินจันทรคติของทิเบต โดยในงานจะมีการเต้นระบำหน้ากาก และนำผ้าบฎอันเก่าแก่ออกมาคลี่บูช
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ
หลังอาหารเย็น นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก ณโรงแรมฮอลิเดย์ ลาดักห์ (Hotel Holiday Ladak หรือเทียบเท่า
วันที่แปดของการเดินทาง                        เดลลี – กรุงเทพฯ
เช้าตรู่
เตรียมตัวเช็คเอาท์ พร้อมออกเดินทางไปยังสนามบินเลห์
0855 น.
ออกเดินทางสู่ เมืองเดลลี โดยสายการบินJet Airwaysเที่ยวบินที่ 9W 2367รับประทานอาหารเช้าบนเครื่อง
1020 น.
เดินทางถึง สนามบินเดลลีเชิญท่านอิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย ระหว่างที่รอเปลี่ยนเครื่องกลับกรุงเทพฯ
1400 น.
ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินJet Airwaysเที่ยวบินที่9W 66
1945 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ 

 

อัตราค่าบริการ(เดินทางขั้นต่ำ 8 ท่าน)
อัตราค่าบริการ
ค่าบริการ พักห้องละ 2 ท่าน
ค่าบริการ พักเดี่ยว
ผู้ใหญ่ ท่านละ
61,900 บาท
6,500 บาท
*** ราคาดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนหากสายการบินมีการเรียกเก็บภาษีน้ำมันและภาษีสนามบินเพิ่มเติม
*** ราคาดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสมโดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
อัตราค่าบริการรวม
  • ตั๋วเครื่องบินเครื่องบินไป-กลับระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ-เดลลี-กรุงเทพฯ ชั้นประหยัดโดยสายการบินไทย
  • ตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ เดลลี - เลห์ โดยสายการบิน Jet Airways
  • ค่าธรรมเนียมวีซ่าอินเดีย สำหรับหนังสือเดินทางไทย
  • ค่าภาษีสนามบิน ค่าทางผ่าน ค่าจอดรถ
  • ค่าโรงแรมที่พัก (พักห้องละ 2ท่าน) ตามรายการที่ระบุ
  • ค่าอาหารทุกมื้อตามระบุ และค่าน้ำดื่ม วันละ 2ขวด/ท่าน
  • ค่าพาหนะในการนำเที่ยว ตลอดการเดินทาง พร้อมพนักงานขับรถที่มีความชำนาญในแต่ละเส้นทาง
  • ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามระบุไว้ในโปรแกรม
  • ค่าประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางในวงเงินท่านละ 1,000,000บาท
  • ค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่น (English Guide)1 ท่านคอยอำนวยความสะดวกแก่ท่านตลอดการเดินทาง
  • หัวหน้าทัวร์จากประเทศไทย คอยอำนวยความสะดวกแก่ท่านตลอดการเดินทาง
  • ค่าทิปไกด์ท้องถิ่นและพนักงานขับรถ พนักงานบริการ ฯลฯ ทุกแห่ง
  • เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก สนามบินสุวรรณภูมิ
อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ไม่ระบุไว้ในรายการ เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหารและเครื่องดื่มนอกรายการ ค่าซักรีดเป็นต้น
  • ค่าใช้จ่ายในการทำกิจกรรมเสริมที่นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการ
  • ค่าทำหนังสือเดินทาง (Passport)
  • ค่าจัดทำเอกสาร และค่าทำธรรมเนียมวีซ่าของคนต่างด้าว
  • ค่าน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางที่เกินกว่าสายการบินกำหนด (20กก. ต่อท่าน)
  • ค่าธรรมเนียมน้ำมันของสายการบิน (หากมีการปรับขึ้น)
  • ค่ายานพาหนะ (ขี่อูฐ) เที่ยวชมภายในนูบรา
  • ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%